พระเครื่องของไทยเป็นพุทธศิลป์ที่มีคุณค่าของแผ่นดินสยาม ทั้งยังทำให้พระพุทธศาสนาเป็นที่รู้จักของสังคมโลก ซึ่งจากข้อมูลของศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ธุรกิจพระเครื่องในไทยมีมูลค่าประมาณ 1.7 – 2.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งในส่วนนี้ยังไม่นับรวมถึงการจำหน่ายให้ชาวต่างชาติและธุรกิจพระเครื่องไทยในต่างประเทศ ซึ่งมีหลายประเทศที่ให้ความสนใจ เช่น จีน มาเลเซีย สิงคโปร์ ฮ่องกง และไต้หวัน
นอกจากนี้พระเครื่องยังเป็นโบราณวัตถุที่ใคร ๆ ต่างต้องการมีไว้ในครอบครอง ด้วยความเชื่อและความศรัทธาในพุทธคุณ รวมถึงประวัติศาสตร์ของพระเครื่ององค์นั้น ๆ ที่บอกเล่าเรื่องราวในอดีตได้เป็นอย่างดี
พระเครื่องแต่ละองค์ต่างมีประวัติศาสตร์ที่แตกต่างกัน ซึ่งการดูด้วยสายตายังไม่สามาถรถบอกถึงประวัติศาสตร์ขององค์พระได้อย่างชัดเจน แต่ด้วยวิวัฒนาการของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทำให้เกิด นวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ช่วยให้การศึกษาเกี่ยวกับพระเครื่องไปได้ไกลมากขึ้น
สถาบันตรวจสอบและวิจัยวัตถุโบราณ (อมตะ สยาม) เห็นถึงความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ทำให้สามารถระบุองค์ประกอบหรือมวลสารขององค์พระได้อย่างแม่นยำ และยังมีการศึกษางานวิจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศในเรื่องการตรวจสอบอายุของโบราณวัตถุ และนำมาวิจัยต่อยอดและประยุกต์ใช้กับการตรวจสอบค่าความเก่าหรืออายุการสร้างองค์พระโดยใช้เทคนิคการตรวจสอบอายุโบราณวัตถุที่ได้การยอมรับจากทั่วโลก เมื่อผลทางวิทยาศาสตร์สอดคล้องกับประวัติศาสตร์จึงทำให้การศึกษาพระเครื่องของไทยมีความน่าเชื่อถือ ตรวจสอบได้ และเป็นที่ยอมรับมากขึ้น
ด้วยประสบการณ์ของผมเอง ผมเชื่อว่าการมีทรัพย์เพียงอย่างเดียว แต่ขาดองค์ความรู้ที่ถูกต้อง มักจะทำให้โอกาสในการเข้าถึงและครอบครองพระเครื่องหรือโบราณวัตถุล้ำค่าหลุดลอยไป ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เครื่องมือและวิธีการตรวจสอบด้วยหลักวิทยาศาสตร์ ตลอดจนทีมนักวิทยาศาสตร์ของอมตะ สยาม จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับท่าน และทำให้ท่านไม่โดนหลอกลวงจากคำพูดของกลุ่มคนที่แทนตนว่า “เซียน”
การสืบค้นและสร้างสรรค์องค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับพระเครื่องทั้งมิติทางประวัติศาสตร์มิติด้านพุทธศิลป์ มิติด้านวิทยาศาสตร์ และมิติด้านความเชื่อ ความศรัทธาจึงสะท้อนวิถีชีวิตความเป็นอยู่อันเป็นรากเหง้าทางวัฒนธรรมของคนไทยในแต่ละยุคสมัยได้และหากมีการสนับสนุนส่งเสริมอย่างมีหลักวิชาที่ถูกต้อง ประเทศไทยอาจใช้องค์ความรู้เกี่ยวกับพระเครื่องเป็น soft power ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของคนไทยได้ด้วยเช่นกัน
อมตะ สยามจะร่วมส่งเสริมให้พระเครื่องของไทยเป็น Soft power ที่รู้จักทั่วโลก และทำให้เกิดการจรรโลงมรดกของแผ่นดินไทยสืบต่อไป

ศูนย์พระเครื่องบารมีสมเด็จโต (อมตะสยาม)
พระสมเด็จ ที่เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) สร้างไว้เมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว ถือเป็นจักรพรรดิแห่งพระเครื่อง ไม่ว่าจะเป็น พระสมเด็จวัดระฆังฯ พระสมเด็จวัดบางขุนพรหม พระสมเด็จวัดเกศไชโย และจัดเป็นที่หนึ่งในพระชุด “เบญจภาคี” ซึ่งล้วนเป็นที่หมายปองเป้นเจ้าของ ของผู้คนในวงการพระเครื่องทุกกลุ่ม แต่เรื่องของพระสมเด็จ ถูกทำให้เชื่อในวงการว่า มีการสร้างน้อย และยากในการแยะแยะ ระหว่างพระแท้ กับพระเก้ ซึ่งแท้จรงิแล้ว เรื่องพระสมเด็จนั้น ก็ยังไม่มีเหตุผล หรือข้อมูลทางวิทยาศาสตร์มายืนยันแต่อย่างไร ทำให้ความคิด ความเชื่อดังกล่าว ยังดำรงและอยู่ในวงการพระเครื่องตราบเท่าทุกวันนี้

จากการศึกษาเกี่ยวกับการสร้างพระสมเด็จ ของเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) นั้น ท่านมีเจตนารมณ์อันบริสุทธิ์ เพื่อสือบทอดพระพุทธศาสนา และเพื่อเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ ไว้เตือนสติ ผู้ใช้ ผู้ครอบครองให้ยึดมั่นในคุณงามความดี ละเว้นความชั่ว ตามหลักธรรมแห่งพระพุทธศาสนา รวมทั้งเป็นพุทธบูชา แด่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งจะเห็นได้จากจำนวนการสร้งในแต่ละวัดดังนี้ วัดบางขุนพรหม สร้างจำนวน 84,000 องค์ วัดเกศไชโย 84,000 องค์ เท่าจำนวนพระธรรมขันธ์ และพระสมเด็จวัดระฆังฯ น่าจะสร้างไม่ต่ำกว่า 84,000 องค์ มีการสร้างขึ้นเป็นแสนๆ องค์ และเมื่อสร้างเสร็จแล้ว ท่านยังนำไปบรรุจกรุที่วัดต่างๆ อีหลายแห่ง ดังนั้นประเด็นของความเป็นพระแท้หรือพระเก้จึงต้องหาข้อมูลมาพิจารณาโต้แย้ง ด้วยเหตุผล โดยสามารถศึกษาในเชิงประวัติศาสตร์ โบราณคดี ธรรมชาติวิทยา และวิทยาศาสตร์มาร่วมกันพิสูจน์ตัดสินความเป็นไปได้
ดังนั้น ศูนย์พระเครื่องบารมีสมเด็จโต (อมตะสยาม) มีความตั้งใจที่จะให้ข้อมูลความรู้ที่เกี่ยวข้องกับสมเด็จทั้งสามวัด ที่เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) เป็นผู้สร้าง ให้แก่ผู้สนใจ เพื่อเป็นแนวทางการศึกษาอย่างมีหลักการ และได้รับความร่วมมือจากสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) โดยสถาบันศึกษาทางไกล จัดเป็นหลักสูตรการเรียนการสอน ภายใต้ “หลักสูตรการศึกษาพระเครื่องพระสมเด็จ (โต พรหมรังสี)”
ศูนย์พระเครื่องบารมีสมเด็จโต (อมตะสยาม) ขอขอบคุณหน่วยงานและผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ที่มีส่วนสนับสนุนให้เกิดหลักสูตรการเรียนการสอนขึ้นมา และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ จะก่อเกิดประโยชน์ต่อการศึกษาและวงการพระเครื่อง ซึ่งถือเป็นหนึ่งในมรดกชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่สนใจศึกษา “พระสมเด็จ” ของเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)